ซีซั่นนี้ มามาร์ดาชวิลี่ มีเปอร์เซ็นต์การเซฟต่ำในอันดับรองบ๊วยของ ลา ลีกา อยู่ที่ 61.5 เปอร์เซ็นต์ และเสียประตูต่อเกมมากเป็นอันดับ 4 โดยที่เสียประตูเฉลี่ย 2.6 ประตูต่อเกม ซึ่งถือเป็นแย่เป็นอันดับ 7 ในลีก

 ซึ่งเขาเสียประตูจากความผิดพลาดส่วนตัวไปแล้ว 2 ครั้ง และที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักคือการที่เขาเสียไปถึง 12 ประตูใน 2 เกมที่พบกับ บาร์เซโลน่า ภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์

        อย่างไรก็ตามผลงานของ มามาร์ดาชวิลี่ ส่วนหนึ่งนั้นได้รับผลกระทบมาจากโดยรวมของ บาเลนเซีย ที่ไม่สู้ดีนัก โดยแนวรับที่อ่อนแอทำให้ผู้รักษาประตูรายนี้ทำผลงานได้ไม่ดีไปด้วย ซึ่งทัพ ค้างคาว ขณะนี้อยู่ในโซนตกชั้นหล่นลงมาอยู่ที่อันดับ 18 ของ โดยเหลือการแข่งขันอีก 13 นัด

 ในทางตรงกันข้ามฟอร์มของมือ 2 อย่าง เคลเลเฮอร์ กับ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ถือว่าน่าประทับใจ โดยโชว์ฟอร์มได้ดีทุกครั้งที่ได้รับโอกาสลงเสาเฝ้าแทน อลิสซอน เสียไป 15 ประตูจากการลงสนาม 17 นัด เซฟลูกยิงได้ถึง 75.9 เปอร์เซ็นต์ เก็บคลีนชีตได้ 3 ครั้งจาก 9 เกมที่เขาลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก

        ซึ่งงานนี้ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องคิดหนักในการปล่อย นายทวารชาวไอริช ออกจากถิ่น แอนฟิลด์ ในช่วงซัมเมอร์ และอาจต้องคิดทบทวนแผนเดิมของพวกเขาเสียใหม่เกี่ยวตำแหน่งผู้รักษาประตูในฤดูกาลหน้า

        แน่นอนว่า อลิสซอน จะยังรักษาตำแหน่งมือ 1 ต่อไปอีก 1 ปีเป็นอย่างน้อย โดยสัญญาของเขาจะหมดลงในปี 2026 แม้ว่าจะมีตัวเลือกในการขยายสัญญาออกไปอีก 1 ปีก็ตาม

 ขณะที่ เคลเลเฮอร์ จะหมดสัญญาในช่วงซัมเมอร์ปี 2026 เช่นกัน โดยมีรายงานว่าเขาไม่ต้องการเซ็นสัญญาฉบับใหม่ท่ามกลางความสนใจจาก นิวคาสเซิ่ล และ เชลซี

 อย่างไรก็ตาม ผลงานของ เคลเลเฮอร์ และ มามาร์ดาชวิลี่ ในฤดูกาลนี้ทำให้ผู้บริหารของ ลิเวอร์พูล ต้องพิจารณาแผนการของพวกเขาใหม่ โดยเฉพาะรายหลังที่อาจจะต้องปล่อยยืมตัวอีกหนึ่งฤดูกาล และหันไปโน้มน้าวใจให้ เคลเลเฮอร์ อยู่กับทีมไปอีกหนึ่งฤดูกาล

 ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ลิเวอร์พูล ก็ยังไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากนัก เพราะ เคลเลเฮอร์ และ มามาร์ดาชวิลี่ ถือว่ายังเป็นนายทวารที่ดูดีมีอนาคต ขณะที่ อลิสซอน ในวัย 32 ปีกับตำแหน่งผู้รักษาประตูก็ยังคงยืนระยะมือหนึ่งได้อีกหลายปี

ข้อมูลจาก

ภาพจาก AFP